วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชาวมหาสารคาม แห่ขอเลขเด็ด ต้นตะเคียนยักษ์ อายุกว่า 200 ปี


ฮือฮา! ชาวบ้านมหาสารคาม แห่ขอเลขเด็ด ต้นตะเคียนยักษ์ อายุกว่า 200 ปี หลัง จนท.กรมชลประทานขุดเจอระหว่างกำลังลอกทำฝายกั้นน้ำ ขณะชาวบ้านเผยใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป กับเจอหญิงสูงอายุมีดอกไม้เหน็บหู เชื่อเจ้าแม่ตะเคียน ปรากฏตัวให้เห็น

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กรมชลประทานขุดลอกทำฝายกั้นน้ำที่อ่างเก็บน้ำห้วยแอ่ง จ.มหาสารคาม เจอต้นตะเคียนขนาดใหญ่ อายุ 200 กว่าปี ขณะชาวบ้านที่ทราบข่าว ต่างหอบดอกไม้ธูปเทียนพร้อมแป้งเดินทางมาขอโชคลาภกันเป็นจำนวนมากที่บ้านนาแพง ตำบลน้ำห้วยแอ่ง อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม

โดยชาวบ้าน เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานได้ขุดลอกเพื่อทำฝายกั้นน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรในหน้าแล้ง โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้ขุดลอกบริเวณเหนือที่พบเจอต้นตะเคียน แต่บริเวณดังกล่าวเป็นโค้งน้ำ เมื่อถึงหน้าน้ำหลากเกรงว่าน้ำจะล้นฝาย จึงขุดถัดลงมาอีก 100 เมตร ระหว่างที่กำลังขุดอยู่นั้นรถแบ็กโฮก็เจอกับตอไม้ขนาดใหญ่ เมื่อตรวจสอบทราบว่าเป็นต้นตะเคียนยักษ์ เส้นรอบลำต้นกว้าง 3.50 เมตร ยาว 11 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการเคลี่อนย้ายต้นไม้มาไว้ยังที่นาของ นางพนมพร หาโกสีย์ จากนั้นได้เคลี่อนย้ายเครื่องจักรเพื่อไปทำงานยังที่อื่น
ด้านนางพนมพร หาโกสีย์ เจ้าของที่นา กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ขุดต้นตะเคียนมาไว้ยังที่นาของต้น ได้เกิดฝันว่า มีหญิงชราเอาปลามาแจกชาวบ้านเป็นจำนวนมากอยู่ที่นาของตน ตนและชาวบ้านได้ออกมาดู จึงพบต้นตะเคียนดังกล่าว จากนั้นก็ได้อธิษฐานว่าถ้าเป็นเจ้าแม่ตะเคียนจริงขอพิสูจน์ด้วยการให้มาเห็นหน้า โดยได้เอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายที่ต้นตะเคียน เมื่อเอาโทรศัพท์มาดูถึงกับตกใจ กับพบรูปคล้ายผู้หญิงสูงอายุ ใส่เสื้อสีขาว มีดอกไม้เหน็บอยู่บริเวณหู จึงเรียกชาวบ้านมาดูแล้วทุกคนต่างก็เห็นเช่นเดียวกับตน

ต่อมา ได้จุดธูปไหว้เพื่อขอโชคลาภและปรากฏออกมาเป็นตัวเลข จากนั้นได้มีชาวบ้านกล่าวกันปากต่อปากแล้วเดินทางมาขอโชคลาภ บางคนนำแป้งมาถูต้นตะเคียนเพื่อหวังเลขเด็ด เนื่องจากใกล้วันหวยออก

อย่างไรก็ตาม บริเวณดังกล่าวชาวบ้านเล่าต่อกันมาว่า เดิมทีเมื่อประมาณ 200-300 ปีที่แล้ว เป็นที่ตั้งของบ้านนาแพง และมีวัดอยู่ใกล้ๆ กับที่ขุดพบต้นตะเคียน จากนั้นได้เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงย้ายขึ้นไปทางด้านเหนือเพื่อไปตั้งเป็นหมู่บ้าน จากนั้นไม่นานก็เกิดเหตุเภทภัยทำให้มีคนล้มตายอีก ชาวบ้านจึงย้ายมาอยู่บริเวณที่อยู่ปัจจุบัน

ที่มา :www.thairath.co.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น